Our Services

Web Design

Your content goes here. Edit or remove this text inline.

Logo Design

Your content goes here. Edit or remove this text inline.

Web Development

Your content goes here. Edit or remove this text inline.

VIEW ALL SERVICES

Shop Our Products

Hoodies

Your content goes here. Edit or remove this text inline.

T-Shirts

Your content goes here. Edit or remove this text inline.

Jeans

Your content goes here. Edit or remove this text inline.

BROWSE ALL OUR PRODUCTS

More of us

Customer Reviews

Your content goes here. Edit or remove this text inline.

Good Stuff We do!

Your content goes here. Edit or remove this text inline.

More From Us...

Your content goes here. Edit or remove this text inline.

EXPLORE CUSTOMERS STORIES

พูดคุย –

0

Discussion – 

0

ไขความลับของน้องแมว

ความลับของ แมวเหมียว

เคยสงสัยกันไหมคะว่าทำไม แมว ถึงชอบทำท่าทางประหลาดๆ มองซ้าย มองขวา หรือจ้องอะไรนานๆ ได้เป็นชั่วโมง เหมือนจะรู้เห็นอะไรมากว่าปกติ หรือเห็นอะไรที่มนุษย์ไม่เห็นหรือเปล่า… บรึ๋ยยย ไม่ใช่หรอกค่ะ นั่นเป็นเพราะร่างกายของแมวมีความลับที่มนุษย์ไม่รู้ซ่อนอยู่ต่างหากล่ะ แต่จะเป็นความลับอะไรนั้น เรามาไขคำตอบกันดีกว่าค่ะ


อย่างที่เกริ่นไปในตอนต้น ว่า แมวนั้นมีความลับมากมายซ่อนอยู่ ในร่างกาย ซึ่งความลับบางอย่างก็แสดงออกมาผ่านทางพฤติกรรมประจำวันอยู่แล้ว เพียงแต่มนุษย์อย่างเราน่ะ ไม่รู้ ไม่เข้าใจในสิ่งที่แมวทำ Charcoal Sand จะพาบรรดาทาสทุกคนไปคลายข้อสงสัย เปิดประตูสู่ความลับความสามารถของเจ้าเหมียวกันค่ะ

1. ความลับฉบับเหมียวเรื่องการมองเห็น

หลายคนอาจสงสัยว่า ภาพการมองเห็นในมุมมองจากสายตาแมวนั้นเป็นอย่างไร ซึ่ง Artist, Nickolay และ Lamm ผู้เชี่ยวชาญด้านการของเห็นของแมวได้ตั้งสมมติฐานไว้ว่า ข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างคนกับแมว คือ จอตาดำ เป็นชั้นบางๆ ที่อยู่หลังจอตาดำ ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์ที่เรียกว่า Photoreceptors หรือ เซลล์รับแสง เซลล์นี้จะแปลงแสงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งมีการทำงานโดยเซลล์ประสาท ส่งไปยังสมอง และแปลงกลับมาเป็นภาพที่เห็น

เซลล์รับแสงจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เซลล์รูปแท่ง ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับสิ่งที่อยู่รอบนอก และในโหมดกลางคืน ตรวจสอบความสว่าง และสีของสีเทา ประเภทที่สองคือ เซลล์รูปกรวย ทำหน้าที่ในการมองเห็นและรับรู้สี มีความเข้มข้นของสารตัวรับแบบเซลล์รูปแท่งสูง และความเข้มข้นของสารตัวรับแบบเซลล์รูปกรวยต่ำ

ส่วนในมนุษย์จะตรงข้ามกันค่ะ จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมมนุษย์เราไม่สามารถมองเห็นภาพในเวลากลางคืนได้ดีเท่าแมว แต่สามารถตรวจจับสีได้ดีกว่าแมว

จากภาพ รูปบนเป็นมุมมองจากสายตามนุษย์ รูปล่างเป็นมุมมองจากสายตาแมว

  •      ความกว้างของมุมมอง หมายถึง ความกว้างจากการมอง เมื่อสายตาโฟกัสไปที่จุดเดียว ในรูปบนและล่าง คือ การมองตรงไปข้างหน้า ซึ่งความกว้างในการมองเห็นของแมวกับมนุษย์จะต่างกันเล็กน้อย กล่าวคือ แมวมองเห็นได้ 200 องศา เมื่อเทียบกับมนุษย์โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 1,280 องศาเท่านั้น

  •       ความชัดเจน เป็นเรื่องของการมองเห็น มนุษย์มีความชัดเจนของการมองเห็นที่ 20/20 ส่วนแมวมีความชัดเจนการมองเห็นที่ 20/100 ถึง 20/200 นั่นหมายความว่า แมวมองเห็นได้ชัดในช่วงระยะ 20 ฟุต มนุษย์จะมีระยะการมองเห็นที่ชัดเจนโดยเฉลี่ยอยู่ในช่วง 100 หรือ 200 ฟุต จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมภาพข้างล่างถึงไม่ชัด

  •      การมองเห็นสี แมวมองเห็นในเวลากลางคืนได้ดีกว่ามนุษย์ แต่กลับมองเห็นในช่วงเวลากลางวันได้แย่เมื่อเทียบกับมนุษย์ ซึ่งมนุษย์มีเซลล์โครงสร้างรูปกรวยเล็กจิ๋วในเรติน่าบนดวงตา (Cones) มากกว่าแมว ซึ่ง Cone Cell มีลักษณะเป็นรูปทรงกรวย แบ่งเป็น 3 ชนิด ตามแม่สีของแสง ได้แก่ เขียว น้ำเงิน แดง ทำหน้าที่รับแสงสีที่ตกกระทบกับวัตถุ และสะท้อนเข้าตาของเรา

สีที่ได้ก็เกิดจากเซลล์ 3 ตัวนี้ที่รับไม่เท่ากัน จะผสมกันจนเกิดเป็นสีที่เรามองเห็น กรณีคนตาบอดสีก็เกิดจากเซลล์ตัวใดตัวหนึ่งทำงานผิดปกติ เช่น ตาบอดสีแดง ตาบอดสีเขียว เป็นต้น มนุษย์มองเห็นภาพในตอนกลางได้ดีกว่าตอนกลางคืน เพราะมี Cone Cell มากกว่า Rod Cell

ส่วนแมวที่มองเห็นช่วงกลางคืนได้ดีกว่าช่วงกลางวัน ก็น่าจะเป็นเหตุผลกลับกันคือ มี Rod Cell มากกว่า Cone Cell และในส่วนของ Cones บนดวงตามนุษย์ ยังช่วยทำให้มองเห็นสีสันได้หลากหลาย และแยกแยะออกได้อย่างชัดเจน เช่น แดง เหลือง น้ำตาล ส้ม ฯลฯ ขณะที่แมวมองเห็นสีเหล่านี้เหมือนกันหมดค่ะ

แมวไม่สามารถแยกความแตกต่างของเฉดสี และความเข้มของสีได้เหมือนมนุษย์

แมว การมองเห็น

  •      ระยะการมองเห็น ดวงตาแมวสามารถโฟกัสสิ่งของได้ชัดเจนในระยะ 10 นิ้วจากวัตถุ ในขณะที่มนุษย์โฟกัสวัตถุได้อย่างชัดเจนในระยะ 5.5 นิ้วโดยประมาณ ดังนั้น ถ้าเป็นระยะที่ใกล้มาก แมวจะใช้หนวดเป็นตัวช่วยในการรับสัมผัสเพิ่มเติม

  •      การมองเห็นตอนกลางคืน แมวไม่สามารถเห็นรายละเอียด หรือสีที่หลากหลายได้เท่ามนุษย์ แต่สามารถมองเห็นในที่มืดได้ดีกว่าหลายเท่าเมื่อเทียบกัน ด้วยจำนวนของเซลล์รูปแท่งที่มีอยู่สูงในจอตา ซึ่งมีความไวต่อแสงสลัว เป็นผลให้แมวสามารถมองเห็นโดยใช้แสงเพียงแค่ 1 ใน 6 จากที่มนุษย์ต้องใช้เพื่อมองในเวลากลางคืน และยังมีอีกโครงสร้างหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังจอประสาทตา เรียกว่า Tapetum (การสะท้อนแสงของดวงตา) ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็นตอนกลางคืนให้ดีขึ้น

เซลล์ใน Tapetum ทำงานเหมือนกระจก โดยสะท้อนแสงที่ผ่านเซลล์รูปแท่งและรูปกรวย กลับไปทางเซลล์รับแสง ช่วยให้ประสิทธิภาพการมองเห็นในเวลากลางคืนทำงานได้ดีขึ้น และเป็นเหตุผลที่ทำให้ตาของแมวสว่างในที่มืดค่ะ

2. ความลับฉบับเหมียวเรื่องการได้ยิน

เจ้าเหมียวสามารถได้ยินเสียงที่มีคลื่นความถี่เสียงสูงมาก ซึ่งหูมนุษย์ไม่สามารถได้ยินเสียงนั้นได้ โดยหูของมันจะมีลักษณะคล้ายจานดาวเทียม ภายในมีความโค้งและหยัก ไว้สำหรับรับสัญญาณเสียงต่างๆ ลองสังเกตเวลาที่เราคุยกัน แมวจะหันหูเข้าหาเรา หรือหมุนไปตามทิศทางของเสียงเพื่อฟัง และระบุถึงแหล่งที่มาของเสียง อีกทั้งหูของแมวสามารถหมุนได้รอบทิศทาง เพื่อใช้เพิ่มความสามารถในการล่าเหยื่อนั่นเอง

แมวสามารถรับฟังเสียงที่มีคลื่นความถี่ตั้งแต่ 30,000 – 45,000 Hertz และสามารถฟังเสียงได้ไกลกว่าหูของมนุษย์ ทำให้แมวได้ยินเสียงบางเสียง ในขณะที่มนุษย์เราจะไม่ได้ยิน และแมวยังฟังเสียงได้ดีกว่าสุนัขอีกด้วยนะคะ ซึ่งสุนัขสามารถฟังเสียงที่มีคลื่นความถี่สูงสุดได้เพียง 40,000 Hertz จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมแมวสามารถฟังเสียงได้โดยรอบ และบอกได้ว่าวัตถุนั้นคืออะไร อยู่ทิศทางไหน ทั้งยังวิเคราะห์ว่า เสียงฝีเท้า และวิธีการเดินนั้นใช่เจ้าของหรือไม่

3. ความลับฉบับเหมียวเรื่องการดมกลิ่น

แม้ว่าแมวจะไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ดมกลิ่นได้เก่งเท่ากับสุนัข แต่จมูกแมวก็สามารถรับกลิ่นได้ดีมาก และดีกว่าคนแน่นอน โพรงจมูกของแมวเมื่อเทียบกับขนาดตัวแล้ว ถือว่าใหญ่กว่ามนุษย์ถึง 5 เท่า ทำให้รับกลิ่นได้ดีกว่า ใช้ประสาทการดมเพื่อแยกแยะว่าใครเป็นใคร รวมไปถึงใช้กลิ่นเพื่อสร้างอาณาเขตอีกด้วย

ความลับอีกอย่างหนึ่งก็คือ แมวมีอวัยวะพิเศษที่เรียกว่า เจคอบสัน (The Jacobsen organ) อยู่ใต้โพรงจมูก ที่เปิดไปสู่ปากทางด้านหลังของฟันหน้า ทำหน้าที่ปล่อยของเหลวออกมาเพื่อทำปฏิกิริยากับเคมีของกลิ่นที่ได้รับ และดึงของเหลวนั้นกลับเข้าไปเพื่อวิเคราะห์ แต่อวัยวะส่วนนี้จะวิเคราะห์เพียงกลิ่นที่ได้จากแมวด้วยกันเท่านั้น จะมีท่าทางบางอย่าง ที่เรียกว่า Flehmen Reaction นั่นคือ พฤติกรรมอันแสนตลก เวลาที่แมวดมอะไรสักอย่างแล้วอ้าปากค้างนั่นแหละค่ะ

4. ความลับฉบับแมวเรื่องการพลิกตัวเมื่อตกจากที่สูง

  • โฟกัสไปยังพื้นที่เป้าหมาย

หลังจากที่แมวตก หรือกระโดดลงมาจากที่สูง กระดูกชิ้นเล็กๆ ซึ่งอยู่บริเวณหูชั้นใน ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัวของร่างกาย จะควบคุมให้ร่างกายค่อยๆ พลิกตัวทีละส่วน โดยเริ่มจากส่วนหัว เพื่อให้สมองคำนวณหาพื้นที่ที่ปลอดภัย และเหมาะสมต่อการทิ้งตัวนั่นเองค่ะ

  • พลิกตัวทีละส่วน

จากนั้นแมวจะจัดระเบียบร่างกายให้กลับมาอยู่ในท่ายืนปกติ โดยพลิกลำตัวช่วงบริเวณขาหน้าทั้งหมดก่อน แล้วตามด้วยขาหลัง ซึ่งการที่เขามีโครงสร้างของกระดูก และกล้ามเนื้อที่มีความยืดหยุ่นมาก จึงทำให้พวกมันสามารถพลิกตัวในลักษณะดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย นับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่มีสัตว์ประเภทไหนเลียนแบบได้

  • ขยายพื้นที่ลดแรงกระแทก

ใช้หลักการเดียวกับกฎทางฟิสิกส์ กล่าวคือ ยิ่งวัตถุที่หน้าตัดพื้นที่มาก ระดับความเร่งของแรงโน้มถ่วงก็จะน้อยลง ฉะนั้น ทุกครั้งที่แมวทิ้งตัวลงมาจากที่สูง ก็จะยืดร่างกายและกางอุ้งเท้าทั้ง 4 ข้างออก เป็นการสร้างแรงต้านอากาศเพื่อชะลอความเร่ง ส่งผลให้ระดับความเร็ว และแรงกระแทกลดน้อยลงไปด้วย

  • เหยียดขาตรง

เมื่อถึงตำแหน่งที่กำหนด แมวจะเหยียดขาหน้าออกพร้อมกับโก่งตัวขึ้น เพื่อถ่ายแรงกระแทกไปยังข้อต่อในส่วนอื่นๆ ซึ่งลักษณะการลงเช่นนี้ช่วยลดโอกาสที่จะเกิดการบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตได้มากขึ้น แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นที่มักจะใช้ร่างกายทุกส่วนลงพื้นพร้อมกัน ซึ่งจะมีโอกาสบาดเจ็บมากกว่า เนื่องจากไม่มีการผ่อนแรงกระแทกนั่นเองค่ะ

ไม่ว่าแมวจะตกจากความสูงในระดับไหนก็ตาม หากมีระยะเวลาสำหรับการจัดระเบียบร่างกายมากเพียงพอ โอกาสในการรอดชีวิตก็จะสูงขึ้น และเกิดการบาดเจ็บน้อยกว่า ในทางกลับกัน ถ้าหากไม่สามารถพลิกตัวกลางอากาศ และกลับมายืนในท่าดังกล่าวได้ แมวก็มีสิทธิ์บาดเจ็บ หรือเสียชีวิตได้เช่นกันค่ะ

5. ความลับฉบับเหมียวเรื่องหาง (พูดได้)

ในเมื่อแมวไม่สามารถพูดได้ ก็ย่อมมีวิธีอื่นที่จะสามารถสื่อสารให้มนุษย์รับรู้ถึงความต้องการได้ค่ะ ความลับของการสื่อสารนี้ก็คือ หาง เช่นเดียวกับสุนัขที่ใช้หางสื่อสาร และบ่งบอกอารมณ์ แต่การเคลื่อนไหวของหางแมวนั้นไม่เหมือนกับสุนัขหรอกนะคะ การวางตำแหน่งหางแต่ละแบบมีหมายความว่าอย่างไรบ้าง ไปดูกันค่ะ

1. หางยกขึ้นและม้วนเล็กน้อย : แสดงว่าเริ่มรู้สึกสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

2. หางตั้งขึ้น แต่ปลายหางเอียงไปข้างหน้าหรือข้างหลัง : แสดงว่ากำลังสนใจ และมีความรู้สึกเป็นมิตรต่อสิ่งที่สนใจ

3. หางตั้งตรง และปลายหางตั้งตรงในแนวดิ่ง : แสดงว่ากำลังอารมณ์ดี รู้สึกเป็นมิตรเมื่อได้พบกัน

4. หางยกขึ้นและขนลุกพอง ทำให้ดูเหมือนมีหางขนาดใหญ่ : แสดงว่าเขากำลังมีความสุขอยู่กับการวิ่งไล่แมวตัวอื่นไปรอบๆ

5. หางอยู่นิ่ง แต่จะกระตุกเป็นบางครั้ง : แสดงว่ากำลังมีความทุกข์ ความกังวล หรือถูกรบกวนจากสิ่งโดยรอบ

6. หางของแมวส่ายไปมา และปลายหางมีกระตุกอย่างหนัก : แสดงว่ากำลังรู้สึกโกรธมาก

7. หางเหยียดตรง ชี้ขึ้น ขนที่หางลุกชัน : แสดงว่ากำลังดุร้าย ก้าวร้าว

8. หางทอดตัวต่ำลง และขนลุกพอง : แสดงว่าเขากำลังหวาดกลัว

9. หางลดลงต่ำมาก หรืออาจจะซุกอยู่ระหว่างขาหลัง : แสดงว่าเขากำลังยอมแพ้

10. หางของแมวตัวเมียทอดตัวอยู่ด้านใดด้านหนึ่ง หมอบ ย่อตัว หรือยกสะโพกสูงขึ้น : แสดงว่าแมวตัวนั้นพร้อมที่จะรับการผสมพันธุ์

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ความลับของเจ้าเหมียวที่ถูก Charcoal Sand ไขออกซะหมดเปลือก แต่ถึงอย่างไร แมว ก็ยังเป็นสัตว์เลี้ยงน่ารัก ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสัญชาตญาณของนักล่าตัวจิ๋ว มีเกรียนไปบ้าง มึนงงไปบ้างตามประสา รู้เรื่องพลังที่เหลือร้าย และความสามารถที่แท้จริงของเจ้าเหมียวแล้ว คุณคิดว่ามันคิดจะครองโลกจริงๆ หรือเปล่าคะ? แค่อยากถามทาสแมวดูค่ะ ^^

เรียบเรียงโดย : น้องแมวสีเทา “น้องแมวสีเทาชื่นชอบในการเลี้ยงดูแลแมวและรักความเป็นแมวอย่างสุดหัวใจ มีประสบการณ์ในการเลี้ยงสัตว์มามากกว่า 10 ปี ชอบค้นหาข้อมูลและเทคนิคการเลี้ยงสัตว์ เพื่อนำความรู้ที่ได้มาแบ่งปันกับเพื่อนๆต่อไป”

บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

0 Comments

Submit a Comment

บทความอื่นๆที่คุณอาจสนใจ

X
My cart
Your cart is empty.

Looks like you haven't made a choice yet.